ธุรกิจใน APAC กำลังเผชิญปัญหาการฉ้อโกงที่มีความซับซ้อนซึ่งกำลังถาโถมเข้ามา ขณะที่มีการเรียกร้องให้มีการร่วมมือข้ามภาคส่วนในวงที่กว้างขึ้น

งานวิจัยชิ้นใหม่จาก GBG ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านอัตลักษณ์และตำแหน่งที่ตั้งทั่วโลก เผยว่าธุรกิจในภูมิภาค APAC เกือบทั้งหมดมีความกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่เป็นระบบและแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น ผลการศึกษาดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการฉ้อโกงทั่วโลกประจำปี 2567 ฉบับใหม่ของ GBG ซึ่งทำการสำรวจธุรกิจธนาคาร อีคอมเมิร์ซ บริการทางการเงิน ฟินเทค เกม ประกันภัย สินเชื่อ และโทรคมนาคมในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์เพื่อประเมินระดับและรูปแบบของการฉ้อโกง ผลกระทบต่อธุรกิจ และวิธีรับมือของธุรกิจ

ภาพรวมการฉ้อโกงในภูมิภาค APAC

ท่ามกลางการฉ้อโกงที่มีความซับซ้อนและเป็นระบบมากขึ้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันการฉ้อโกง 70% ต่างพบการค่อย ๆ เพิ่มขึ้นของความพยายามในการฉ้อโกงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สูงกว่าที่พบในภูมิภาค EMEA (55%) และในสหรัฐอเมริกา (48%) นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบสองในสาม (63%) ยังมองว่าการฉ้อโกงแบบฉวยโอกาสและสามารถทำได้ง่ายเป็นภัยคุกคามที่พบได้บ่อย

ในแง่ของความเสี่ยงด้านการเงิน ผู้ตอบแบบสอบถาม 11% เผยว่ามูลค่าธุรกรรมโดยเฉลี่ยของความพยายามในการฉ้อโกงสำหรับองค์กรของตนอยู่ที่ระหว่าง 35,000 ถึง 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

 

การฉ้อโกงรูปแบบใดที่น่ากังวลที่สุด

เจ้าหน้าที่ในภูมิภาคนี้มองว่าวิวัฒนาการของ GenAI ในการฉ้อโกงที่เกี่ยวกับการตรวจสอบอัตลักษณ์และการเงินจะมีความน่ากังวัลในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า โดย 35% ของเจ้าหน้าที่ในภูมิภาค APAC เชื่อว่ามีความน่ากังวลสูงสุด ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ 27% ในภูมิภาค EMEA และสหรัฐอเมริกาที่มองในแบบเดียวกัน

ทั้งนี้ ความกังวลที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากเหตุผลหลายประการ 27% มอง GenAI เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ปลอมที่สามารถจูงใจให้เชื่อได้มากขึ้น โดย 26% เชื่อว่า GenAI จะเพิ่มความถูกต้องแม่นยำให้กับเอกสารที่มีการปลอมแปลงอัตลักษณ์และสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นเมื่อทำการฉ้อโกงแบบฟิชชิ่งและการฉ้อโกงแบบฟิชชิ่งทางข้อความ SMS (smishing)

 

ธุรกิจมีการเตรียมความพร้อมที่จะสกัดกั้นการฉ้อโกงอย่างดีพอหรือไม่

แม้จะมีการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI ที่ช่วยให้ผู้ที่ทำการฉ้อโกงสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ใช้ในการฉ้อโกงได้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงเกือบหนึ่งในห้า (19%) ขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการต่อสู้กับเครือข่ายอาชญากรรมที่มีความทันสมัยที่ใช้ทั้งการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การฉ้อโกง การโจรกรรมอัตลักษณ์ และการฟอกเงินเพื่อทำการฉ้อโกงจากต้นทางถึงปลายทาง

สิ่งนี้ถูกซ้ำเติมด้วยการไม่สามารถระบบสัญญาณความเสี่ยงได้ตั้งแต่ในช่วงต้นของธุรกิจ โดย 28% มองว่าความเข้าใจที่มีต่อแนวโน้มการฉ้อโกงใหม่ ๆ เป็นความท้าทายสูงสุด และ 27% ชี้ว่าการระบุและยับยั้งการฉ้อโกงในกระบวนการดูแลลูกค้า (onboarding) เป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องดำเนินการในเรื่องที่จำเป็นเพื่อยับยั้งการฉ้อโกงและทำให้กระบวนการดูแลลูกค้ามีความราบรื่นไปพร้อม ๆ กัน

 

ความคาดหวังและความเป็นจริงเกี่ยวกับความร่วมมือแบบข้ามภาคส่วน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงส่วนใหญ่มองว่าการแบ่งปันข้อมูลอัตลักษณ์และการร่วมมือกันแบบข้ามภาคส่วนคือตัวที่จะเข้ามาสร้างความแตกต่างอย่างมีกลยุทธ์ให้กับการเอาชนะการฉ้อโกง โดยมีนิวซีแลนด์ (97%) และฟิลิปปินส์ (88%) ที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นลำดับต้น ๆ ซึ่งความเป็นจริง ผู้ตอบแบบสอบถาม 81% ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมด้านข้อมูลทางอัตลักษณ์ ซึ่งมีการเชื่อมต่อธุรกรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลกและแบ่งปันข้อมูลลูกค้าระหว่างธุรกิจ ภาคส่วน และประเทศกันอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความต้องการอย่างมาก กลับมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนไม่ถึงครึ่งที่ลงมือต่อสู้กับการฉ้อโกงร่วมกันอย่างจริงจังด้วยการเข้าร่วมในการประชุมและการแลกเปลี่ยนความรู้ของอุตสาหกรรม (47%) การลงทุนในโซลูชันทางเทคโนโลยีที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความปลอดภัย (46%) และร่วมมือกับหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อแบ่งปันข้อมูล (46%)

ปัจจุบัน 83% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าองค์กรมีความกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันในการเข้าไปมีส่วนในความร่วมมือในการต่อสู้กับการฉ้อโกง ยิ่งไปกว่านั้น เกือบ 4 ใน 5 (79%) ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่ารัฐบาลทั่วโลกยังไม่มีการสนับสนุนที่มากพอเพื่อให้เกิดความร่วมมือแบบข้ามภาคส่วน

 

ผู้ที่กำลังต่อสู้กับการฉ้อโกงต่างเผชิญกับภาวะหมดไฟ

ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด (100%) ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาต้องอดนอนเพราะองค์กรมีความเสี่ยงที่จะเกิดการฉ้อโกง โดยที่ปัญหาการตรวจสอบอัตลักษณ์ (46%) และการขาดทรัพยากร (44%) เป็นสองปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ทำให้พวกเขาต้องคอยทำงานดึก ๆ ดื่น

ภาระอันหนักหน่วงนี้ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันการฉ้อโกง โดยเกือบสามในสี่ (70%) ของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงเสียเอง

ในรายงานดังกล่าว นาง Carol Chris ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาค APAC ของ GBG ได้อธิบายว่า “งานวิจัยชิ้นล่าสุดของเราได้เผยให้เห็นภาพอันน่ากังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกงใน APAC ธุรกิจไม่เพียงต้องเผชิญกับความพยายามในการฉ้อโกงที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่การโจมตีเหล่านี้ยังมีความเป็นระบบและซับซ้อนมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีอย่าง Generative AI”

เธอกล่าวเสริมว่า “การร่วมมือกันข้ามอุตสาหกรรมเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อย่างไรก็ดีเราต้องมีการระบุปัญหาในปัจจุบันกันก่อน เราขอเรียกร้องให้ธุรกิจต่าง ๆ มองข้ามการแข่งขันและทำงานร่วมกันเพื่อเอาชนะผู้ที่ทำการฉ้อโกง สิ่งนี้ไม่เพียงจะปกป้ององค์กรของเราแต่ยังจะช่วยสนับสนุนเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงในแนวหน้าด้วยอย่างมาก”

ดูข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดรายงานการฉ้อโกงทั่วโลกฉบับเต็มได้ที่: https://hubs.ly/Q02HVSYq0

เกี่ยวกับงานวิจัย

งานวิจัยชิ้นนี้จัดทำโดยการสำรวจทางออนไลน์โดย Censuswide ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำแหน่ง CXO รองประธาน ผู้อำนวยการ และผู้จัดการ 520 คนในฝ่ายความเสี่ยง/การฉ้อโกง ฝ่ายปฏิบัติการ และฝ่ายบังคับใช้ระเบียบข้อบังคับระหว่างวันที่ 16 และ 24 พฤษภาคม 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ภาคส่วน: บริการทางการเงิน (รวมถึงกองทุนเงินเกษียณ) ประกันภัย ฟินเทค (รวมถึงการชำระเงินและการโอนเงิน) การธนาคาร สินเชื่อ โทรคมนาคม อีคอมเมิร์ซ เกม และการพนัน
  • ขนาดของบริษัท (รายได้): < 50 ล้านปอนด์ / 50 – 100 ล้านปอนด์ / 100 – 500 ล้านปอนด์ / 500 ล้าน – 1 พันล้านปอนด์ / >1 พันล้านปอนด์
  • ประเทศ: ออสเตรเลีย (213) นิวซีแลนด์ (100) มาเลเซีย (52) อินโดนีเซีย (52) ไทย (52) ฟิลิปปินส์ (51)