ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งจากผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่าผ่าน “ความต้องการ” ใหม่ ๆ

สิงคโปร์ – Media OutReach – 17 ตุลาคม 2566 – วันนี้ Meta, Bain & Company และ DSG Consumer Partners ได้เผยแพร่รายงาน SYNC Southeast Asia ประจำปี ในหัวข้อ ‘Bold Moves: Leading Southeast Asia’s next wave of consumer growth’ โดยรายงานดังกล่าวได้เผยข้อมูลเชิงลึกของด้านที่มีการพัฒนาในกลุ่มผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชี้ให้เห็นว่าความหลากหลายนี้สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจในภูมิภาคทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร

การปรากฏของลำดับขั้นความต้องการใหม่

39% ของผู้บริโภคที่เราทำการสำรวจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชี้ให้เห็นถึงการลดลงของการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่ลดลงในปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุความกังวลหลัก ๆ จากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (63%) และค่าครองชีพ (58%) สำหรับหมวดหมู่ที่มีการจับจ่ายลงสูงสุดเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่อาหาร เครื่องใช้ส่วนตัว และสุขภาพเป็นหมวดหมู่ที่ยังคงสามารถฟื้นตัวกลับมาได้

รายงานดังกล่าวยังพบว่านอกจากจะมีการใช้จ่ายที่ลดลงแล้ว ผู้บริโภคยังได้มีการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้หรือเพียงแค่ต้องการขึ้นใหม่ด้วย สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยอย่างการรับประทานอาหารนอกบ้านทุกสัปดาห์ เสื้อผ้าแบรนด์เนม และอุปกรณ์แกดเจ็ตใหม่ล่าสุดได้ถูกจัดให้เป็น “ความต้องการ” ใหม่ ที่เพิ่มเข้ามา นอกจากนี้โซเชียลมีเดียยังถูกจัดให้เป็นหมวดหมู่ที่มีความจำเป็นลำดับต้น ๆ ในกลุ่มผู้บริโภคทุกระดับรายได้ ขณะที่บริการสตรีมมิงก็ถูกมองว่าอยู่ในหมดวหมู่ที่มีความจำเป็นซึ่งมาแรงไม่แพ้กัน   

กลุ่มสำคัญที่ต้องมุ่งเจาะคือ Gen Z และ Solo Economy

จากรายงาน กลุ่มประชากรวัยทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นถึง 24 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2573 และด้วยการเพิ่มขึ้นของรายได้และประชากรกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นกลางระดับสูง ภูมิภาคนี้จะเข้าใกล้จุดหักเหสำคัญยิ่งขึ้นซึ่งจะเร่งการเติบโตของการบริโภคให้เร็วขึ้นไปอีก โดยผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z และกลุ่มผู้ที่อยู่อาศัยคนเดียวเป็นสองกลุ่มหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตนี้

ปัจจุบัน ประชากรกลุ่ม Gen Z คิดเป็น 23% ของประชากรทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่กลุ่ม Solo Economy ซึ่งรวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว เป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตจากประชากร     สามกลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงวัยที่เป็นโสด กลุ่มผู้ที่เพิ่งเริ่มประกอบอาชีพ และกลุ่มผู้ที่เพิ่งเริ่มอพยพเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงของขนาดครอบครัวมากที่สุดในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย โดยคาดว่ากลุ่มผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียวจะเพิ่มขึ้นถึง 20% ภายในปี พ.ศ. 2573

คุณ Praneeth Yendamuri พาร์ทเนอร์     จาก Bain & Company กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวท่ามกลางการชะลอตัวทั่วโลก และอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภคก็เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งในตลาดส่วนใหญ่ นี่คือโอกาสอันดีที่ธุรกิจต่าง ๆ จะได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคราว 700 ล้านคนในระบบเศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะโตถึง 4.6% ในปี 2573 (เทียบกับการเติบโตของทั่วโลกที่ 2.7%) หลายครั้งที่ภูมิภาคแห่งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในแผนของนักลงทุนในแง่ของการประเมินมูลค่าที่สำคัญ ๆ และผลกระทบที่เกิดจากการได้กำไรและขาดทุน เพื่อให้ภูมิภาคนี้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ เราต้องมีความกล้า ต้องมีการปรับมุมมองใหม่ของเป้าหมายอันทะเยอทะยานของภูมิภาคแห่งนี้โดยการจัดลำดับความสำคัญ จัดลำดับก่อนหลัง และที่สำคัญที่สุดคือทุ่มเม็ดเงินการลงทุน บริษัทต่าง ๆ ควรมุ่งเจาะกลุ่มผู้บริโภคในท้องถิ่นและพัฒนาโมเดลด้านการดำเนินการให้ตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น สร้างความสมดุลระหว่างความได้เปรียบด้านขนาดและกรอบความคิดในการเป็นผู้เล่นที่กล้าจะนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภค”

จากรายงาน Gen Z เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องปัจเจก ความจริงแท้ และอัตลักษณ์มากกว่าผู้บริโภคเจเนอเรชันอื่น ๆ และนอกจากจะเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีแล้ว ชาว Gen Z ยังมีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้ดิจิทัลสูง โดยมีการส่งข้อความถึงธุรกิจต่าง ๆ เฉลี่ยเดือนละ 8 ครั้ง และ 82% ของผู้ที่ร่วมทำแบบสำรวจยังเผยว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนออนไลน์ด้วย

AI ขับเคลื่อนการให้บริการส่วนบุคคลในทุกเจเนอเรชัน

ขณะที่ชาว Gen Z เป็นกลุ่มหัวแถวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้ชีวิตโดยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เจเนอเรชันที่มาก่อนก็กำลังตามทันอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ แบบตามไปติด ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าทุกเจเนอเรชันต่างใช้เวลามากขึ้นบนโลกออนไลน์และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ VR (ความจริงเสมือน) หรือเทคโนโลยีด้านสุขภาพจะส่งผลต่อธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเป็นอย่างดี

รายงานฉบับนี้ได้ระบุถึงวิธีที่ธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเริ่มนำ AI มาใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการตลาดและเพื่อจัดการกับปัญหาที่พบในท้องถิ่นนี้โดยเฉพาะ เช่น ปัญหาทางด้านภาษา วัฒนธรรม และความชื่นชอบที่มีความแตกต่างหลากหลาย คุณ Benjamin Joe รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดเกิดใหม่ของ Meta กล่าวว่า “AI สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับผู้คนและสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าให้กับธุรกิจ ที่ Meta เรานำเครื่องมือค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของเรามาบูรณาการกับการสร้างสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแพลตฟอร์มของเราตลอดเวลาที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถมอบประสบการณ์ที่ตรงใจ ให้ความบันเทิง และตรงตามบริบทของท้องถิ่นมากขึ้น และด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ จึงเห็นได้ชัดว่านักการตลาดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นได้เริ่มนำ AI มาใช้เพื่อขับเคลื่อนการเข้าถึงและประสิทธิภาพที่ทรงพลังยิ่งขึ้นแล้ว”

สำหรับสิ่งที่คาดการณ์ในอนาคต รายงานพบว่าผู้นำธุรกิจ 73% ที่ร่วมทำแบบสำรวจนี้ตระหนักถึงโอกาสจาก AI แต่ก็ยอมรับว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะนำมาใช้ รายงานยังชี้ให้เห็นว่ามีการมุ่งความสำคัญไปที่การทำการตลาดที่เจาะไปที่ความต้องการเฉพาะส่วนตัว (personalization)      และการลงทุนในเครื่องมือที่ขับเคลื่อนหรือทำงานด้วย AI เพื่อทำให้การมอบบริการส่วนบุคคลในวงกว้างเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และจะเสริมธุรกิจให้เข้าถึงผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่แข็งแกร่ง “ตอนนี้ การนำ AI มาใช้มีความจำเป็นมากกว่าตอนไหน ๆ สำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัลที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้” คุณ Joe กล่าว

ยุครุ่งเรืองของกลุ่มแบรนด์เกิดใหม่ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด (Insurgent Disruptor)

Insurgent Disruptor คือ นิยามของกลุ่มแบรนด์     ใหม่ๆ ในตลาดที่สามารถสร้างรายได้เติบโตได้เร็วกว่าถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตในแต่ละหมวดหมู่ มีส่วนสร้างรายได้ให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดถึง 23% ในปี พ.ศ. 2565 โดยหมวดหมู่ที่แบรนด์เหล่านี้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาครองได้แก่หมวดหมู่ความงามและการดูแลสุขภาพและอาหารสำเร็จรูป

คุณ Sameer Mehta ประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ DSG Consumer Partners กล่าวว่า “Insurgent Disruptor คือแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดได้ไม่ถึง 10 ปี และได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายส่วนแบ่งการตลาดให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการมอง ‘ความต้องการ’ เป็น ‘ความจำเป็น’ และความรู้สึกอิ่มตัวกับแบรนด์เดิม ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเลือกแบรนด์กลุ่ม Insurgent Disruptor เพื่อตอบสนองความต้องการและยกระดับความคาดหวังของตนให้สูงขึ้น”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.facebook.com/business/m/sync-southeast-asia